(Election)
การเลือกตั้งตำแหน่งทางการเมืองการปกครอง
ตามหลักของระบบสหพันธรัฐที่ปรากฎในรัฐธรรมนูญ ได้แยกอำนาจการปกครองออกเป็น 2 ระดับคือ รัฐบาลระดับชาติ (National Government) และรัฐบาลระดับมลรัฐ(Several State Government) ซึ่งชาวอเมรกันเรียกว่า “ระบบสหพันธรัฐ” (Federal System) หมายถึง การปกครองร 2 ระดับ ดังกล่าวแต่บางครั้งเมื่อกล่าวถึงรัฐบาลสหพันธรัฐ (Federal Government) ความหมายที่แท้จริงก็คือรัฐบาลระดับชาติ(National Government)นั่นเอง
1.การเลือกตั้งระดับชาติ ( Federal Government)
การเลือกตั้งตำแหน่งทางการเมืองในระดับชาติหรือรัฐบาลกลางแบ่งออกเป็น 2 ประเภท ได้แก่ การเลือกตั้งประธานาธิบดี และการเลือกตั้งสมาชิกสภาคองเกรส
1)การเลือกตั้งประธานาธิบดี ( Presidential Election)
(1)การเสนอชื่อผู้สมัครรับเลือกตั้งประธานาธิบดี (Nomination the President : The Primaries)
กระบวนการเสนอชื่อผู้สมัครรับเลือกตั้งที่มีความสำคัญมากที่สุด คือ การหยั่งเสียงขั้นต้นในการหาชื่อผู้สมัครรับเลือกตั้งของแต่ละพรรค (President Primary) ซึ่งผู้สมัครที่ได้รับการคัดเลือกจะไปประชุมพรรคการเมืองในระดับชาติเพื่อทำการตัดสินว่าผู้ใดจะเป็นผู้แทนของพรรคเข้าสมัครรับเลือกตั้งประธานาธิบดี
ก. การหยั่งเสียงแบบปิด (Closed Primary) ปิดให้เฉพาะผู้ที่ลงทะเบียนเป็นสมาชิกพรรคเท่านั้นที่มีสิทธิเข้ามาหยั่งเสียง
ข. การหยั่งเสียงแบบเปิด (Open Primary) เปิดโอกาสให้ประชาชนเลือกผู้สมัครของพรรคใดก็ได้ตามความต้องการของตน
ค. การหยั่งเสียงแบบแบล็งเค็ท (Blanket Primary) เป็นการหยั่งเสียงแบบปิดอีกลักษณะหนึ่งที่ผู้ออกเสียงสามารถออกเสียงให้แก่ ผู้สมัครรับเลือกตั้งจากพรรคการเมืองได้มากกว่าหนึ่งพรรค
ง. การหยั่งเสียงแบบรันออฟ (Run-off Primary) บางมลรัฐมีการหยั่งเสียง 2 ระบบ ถ้าไม่มีผู้สมัครรรับเลือกตั้งคนใดได้รับเสียงข้างมากของการออกเสียงในการหยั่งเสียงครั้งแรก ผู้สมัครรับเลือกตั้งสองคนที่ได้รับคะแนนสูงสุดต้องแข่งขันกันอีกครั้งในการหยั่งเสียงครั้งต่อไปซึ่งเรียกว่า “Run-off Primary”
(2)การประชุมใหญ่ระดับชาติ (National Convention)
การประชุมระดับชาติเป็นการคัดเลือกผู้เข้าชิงตำแหน่งประธานาธิบดีของพรรคอย่างเป็นทางการ ซึ่งจะต้องเป็นผู้ที่มั่นใจว่าจะได้รับชัยชนะในการลงคะแนนเสียงครั้งแรก (the first ballot)
จุดมุ่งหมายของการประชุมระดับชาติ
ประการแรก เพื่อเลือกผู้แทนของพรรคส่งเข้าสมัครแข่งขันรับเลือกตั้งเป็นประธานาธิบดีและรองประธานาธิบดี
ประการที่สอง เพื่อร่างนโยบายของพรรคในการรณรงค์เลือกตั้ง เช่น นโยบายเกี่ยวกับภายในประเทศและต่างประเทศ เป็นต้น
(3)การเลือกตั้งโดยคณะผู้เลือกตั้ง
จำนวนทั้งหมดของผู้มีสิทธิเลือกตั้งประธานาธิบดีในคณะผู้เลือกตั้ง คือ 538 คน ประกอบด้วย สมาชิกสภาสูง 100 คน สมาชิกสภาผู้แทนราษฎร 435 คน และอีก 3 คนมาจากดิสทริกท์ ออฟ โคลัมเบีย (District of Columbia) ซึ่งเป็นเมืองหลวงของสหรัฐอเมริกาหรือที่เรียกว่าวอชิงตัน ดี.ซี (Washington D.C.)
การคัดเลือกสมาชิกคณะผู้เลือกตั้ง สมาชิกคณะผู้เลือกตั้งจะต้องไม่เป็นสมาชิกสภาสูงหรือสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร หรือเจ้าหน้าที่ในองค์การของรัฐและรัฐวิสาหกิจ บัญชีรายชื่อผู้สมัครเป็นสมาชิกคณะผู้เลือกตั้ง (State of President Elector) จะปรากฏในบัตรเลือกตั้งตามพรรคการเมืองที่ประชาชนจะลงคะแนนเสียงให้ โดยประชาชนจะต้องลงคะแนนเสียงแบบเป็นทีมจะเลือกเป็นรายบุคคลไม่ได้
การลงคะแนนเสียงของคณะผู้เลือกตั้ง คณะผู้เลือกตั้งทรงสิทธิที่จะลงคะแนนเสียงให้กับผู้สมัครคนใดก็ได้ไม่จำเป็นต้องลงคะแนนเสียงให้แก่ผู้สมัครที่สังกัดพรรคเดียวกับตน
ผู้ที่ได้รับเลือกให้เป็นประธานาธิบดี จะต้องได้รับคะแนนเกินกึ่งหนึ่งของคณะผู้เลือกตั้ง หรือ 270 คะแนนขึ้นไป ตามรัฐธรรมนูญแห่งสหรัฐอเมริกา ในกรณีที่ไม่มีผู้สมัครรับเลือกตั้งคนใดได้รับเสียงข้างมากจากคณะผู้เลือกตั้ง การเลือกตั้งประธานาธิบดีจะถูกตัดสินโดยสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรโดยเลือกจาผู้สมัครรับเลือกตั้งประธานาธิบดีที่ได้คะแนนสูงสุด 3 คน (ตัดสินจากคะแนนเสียงข้างมากของตัวแทนแต่ละมลรัฐ โดยแต่ละมลรัฐมี 1 เสียง) ส่วนการคัดเลือกรองประธานาธิบดีจะถูกตัดสินโดยสมาชิกสภาสูงซึ่งคัดเลือกระหว่างผู้สมัครรับเลือกตั้งที่ได้คะแนนสูงสุด 2 คน สมาชิกสภาสูงแต่ละคนมีหนึ่งเสียง
บทบาทของคณะผู้เลือกตั้ง คณะผู้เลือกตั้งทั้งหมดในแต่ละมลรัฐถูกจำกัดให้ลงคะแนนเลือกตั้งเฉพาะสำหรับผู้สมัครเข้าชิงตำแหน่งประธานาธิบดีในนามพรรคของตนที่ได้รับเสียงข้างมากจากประชาชนเท่านั้น
การลงคะแนนเสียงของคณะผู้เลือกตั้ง ถ้าประชาชนในมลรัฐใดลงคะแนนเสียงข้างมากให้แก่ผู้สมัครคนใด ผู้สมัครที่ได้รับเสียงข้างมากจากมลรัฐนั้น (A Plurality) ก็จะได้คะแนนเสียงของคณะผู้เลือกตั้งจากมลรัฐทั้งหมดหมายความว่า “ผู้ชนะได้คะแนนเสียงจากคณะผู้เลือกตั้งในมลรัฐทั้งหมด”
จากการเลือกตั้งดังกล่าวทำให้ในบางโอกาสมีความเป็นไปได้ที่ผู้ชนะการเลือกตั้งเป็นประธานาธิบดีแต่ไม่ได้รับเสียงข้างมากจากประชาชน ดังนั้นจึงมีประธานาธิบดีที่ชนะการเลือกตั้งจากคณะผู้เลือกตั้งแต่ได้รับเสียงข้างน้อยจากประชาชนเป็นจำนวนมากในประวัติศาสตร์ของสหรัฐอเมริกา
และทั้งหมดนี้ก็คือข้อมูลย่อๆเกี่ยวกับการเลือกตั้งประธานาธิบดีของสหรัฐอเมริกา ใครมีความคิดเห็นกันอย่างไรก็สามารถนำมาเสนอแลกเปลี่ยนกันนะคะ... และต่อไปจะเป็นการเลือกตั้งสมาชิกสภาคองเกรส จะมีวิธีการและรูปแบบแบบใดต้องคอยติดตามกันนะคะ
จากข้อมูลที่เกิดขึ้นในอเมริกานั้น การเลือกประธานาธิบดีของสหัรฐเองนั้น ถือได้ว่าจะเป็นอะไรที่ค่อนข้างยุ่งยากพอสมควร เพราะจะต้องมีการลงคะแนนเพื่อจะไปเลือกตั้งจริง แล้วยังจะต้องไปลงคะแนนโหวตเพื่อเป็นการหยั่งเสียงก่อนจะเลือกตั้งจริงอีก ตามความเข้าใจ น่าจะประมาณ 2 3 ครั้งเห็นจะได้ แล้วสุดท้ายคือการเลือกตั้งจริง อันนี้เป็นสิทธิของใครของมัน อาจจะไม่เหมือนกับที่ไปโหวตหยั่งเสียงก็ได้ ซึ่งนี้คือความยากของการเลือกตั้งในอเมริกา แต่พวกเขาก็ปลูกฝั่งความรู้ความเข้าใจในระดับการศึกษาคือมัธยม อันนี้จำไม่ได้ว่ามัธยมต้นหรือปลายนะ เพราะการปลูกฝั่งการเรียนรู้ที่ดีที่สุดอยู่ในอเมริกาคือ การสนับสนุนงบประมาณลงไปยังระดับประถมศึกษาและ มัธยมศึกษาเป็นอย่างมาก ทำให้เกิดการตื่นตัวทางการเมืองค่อนข้างสูงกว่าประเทศอื่นๆ ขอบคุณมากคับ
ตอบลบการเลือกตั้งของอเมริกา อ่านแล้วดูวุ่นวาย เลือกกันหลายขั้นตอน แต่ประชาชนของอเมริกาก็สนใจที่ไปลงคะแนนเสียงเลือกตั้ง อาจเป็นเพราะการปลูกฝังที่ดี
ตอบลบสำหรับผม ปัญหาว่าดีหรือไม่ดี ไม่ได้อยู่ที่ ระบบแต่อยู่ที่ตัวบุคคล มากกว่าถ้าเราสามารถเปลี่ยนแนวคิด สร้างความแข็งแกร่ง ความอิสระ และความโปร่งใสให้กับองค์กรอิสระ ในการตรวจสอบองค์กรของรัฐได้ ระบบไหนๆ ผมว่าก็ดี สรุป เน้นเปลี่ยนทัศนะคติ ความโปร่งใส ของบุคคล มากกว่าระบบ
ตอบลบอ่านแล้วน่าสนใจคะ
ตอบลบเห็นด้วยกับคอมเม้นข้างต้นๆ
ดูวุ่นวายมากไปนิด แต่ประชาชนเค้าก้อสนใจ
ใส่ใจไปเลือกตั้งกันนะคะ
อยากให้คนไทย เปนแบบนั้นบ้าง
น่าสนใจดีนะคับ เนื้อหาเยอะดี แบ่งเป็นขั้นเป็นตอนในการเลือกประธาณาธิบดีของอเมริกา แต่ดูหลายขั้นตอนหน่อย
ตอบลบเปนอารายที่ดีมากเรยคร่า
ตอบลบชอบๆๆๆๆๆ
ขอบคุณค่ะสำหรับข้อมูล
ตอบลบ